ธรรมะสำหรับชีวิตข้าราชการพลเรือนวัยเกษียณ
สิงหนาท
ประศาสน์ศิลป์ นศ.ป. เอก. มมร.
การเกษียณอายุการทำงาน(Retirement) เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของชีวิตการทำงานของมนุษย์ทั้งในด้านชีวิตส่วนตัวและชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสังคม
เพราะการเกษียณอายุการทำงานเป็นการกำหนดให้บุคคลที่ได้รับการจ้างงานต้องออกจากงาน
เมื่อถึงช่วงอายุที่กำหนดไว้
การออกจากงานของบุคคลจึงเป็นการถอนตัวออกจากสังคมของการทำงานสาหรับประเทศไทยข้าราชการที่รับราชการเมื่ออายุครบ
๖๐ ปีบริบูรณ์ต้องเกษียณอายุพ้นจากราชการเมื่อสิ้นปีงบประมาณนั้น[1]ในบางกรณีข้าราชการบางกลุ่มอาจได้รับการว่าจ้างให้ทำงานต่อหลังครบช่วงอายุการเกษียณที่กำหนดไว้ต่ออีกช่วงเวลาหนึ่งอย่าง
กรณีข้าราชการมหาวิทยาลัย อาจได้รับการว่าจ้างต่อหลังเกณฑ์การเกษียณเป็น ๖๕ ปี และ
กรณีข้าราชการอัยการ หรือ ศาลยุติธรรม สามารถทำงานต่อได้จบถึงช่วงอายุ ๗๐ ปี
ไม่ว่าจะได้รับการว่าจ้างให้ทำงานต่อไปอีกสักกี่ปี เมื่อถึงช่วงอายุที่กำหนดไว้
ข้าราชการเหล่านี้ก็ต้องถอนตัวออกจากสังคมการทำงาน เปลี่ยนจากภาวการณ์เป็นข้าราชการไปสู่ภาวการณ์อิสระหมดภาระหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ[2]ฉะนั้น
การเกษียณอายุราชการ จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตของบุคคล
การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงบ่งบอกว่า บุคคลได้ถอนตัวออกจากบทบาทการทำงานแล้ว
แต่ยังเป็นเครื่องบ่งบอกถึงช่วงอายุขัยของบุคคลด้วย
เพราะช่วงเวลาที่กำหนดให้บุคคลต้องถอนตัวออกจากอาชีพราชการ เป็น
ช่วงเวลาเดียวกับการกำหนดอายุเข้าสู่วัยสูงอายุ[3]
การต้องหยุดประกอบอาชีพเช่นนี้ย่อมก่อให้เกิดผลกระทบต่อกลุ่มผู้สูงอายุที่ถูกกำหนดช่วงเวลาในการหยุดทำงานที่ชัดเจน
มากกว่าผู้สูงอายุที่ประกอบอาชีพอื่นที่ไม่มีการกำหนดช่วงเวลาในการปลดเกษียณการทำงาน
อย่าง เกษตรกร นักธุรกิจ เพราะเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุบทบาทต่างๆ
ของกลุ่มคนเหล่านี้อาจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างแต่จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามสภาวะทำงานทางกายภาพตามปกติ
และความต้องการของตัวผู้สูงอายุ ที่สามารถหยุดการทำงานประจำได้เมื่อเจ้าตัวรู้สึกว่าตนต้องการหยุด
ซึ่งต่างจากผู้เกษียณอายุราชการที่เมื่ออายุครบ ๖๐ ปีบริบูรณ์ก็ต้องปลดระวางบทบาท
การปฏิบัติอาชีพลงทันที
เว้นแต่ในกรณีที่จำเป็นอย่างยิ่งคณะรัฐมนตรีจะอนุมัติให้ต่อเวลาราชการต่อไปอีกคราวละ
๑ ปี จนอายุครบ ๖๕ ปีบริบูรณ์ได้[4]
แม้ว่าทั่วโดยไปผู้สูงอายุต้องเผชิญกับปัญหาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพร่างกาย
และ จิตใจ ที่เกิดจากความสูงวัย ในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน
แต่ปัญหาของผู้สูงอายุที่เกษียณอายุราชการจะมีความชัดเจนกว่าผู้สูงอายุทั่วไป
เพราะผู้เกษียณอายุราชการต้องเผชิญกับสถานภาพทางสังคมใหม่ถึง ๒ แบบด้วยกัน คือ
สถานภาพความเป็นผู้สูงอายุ และ ผู้ที่ต้องถอนตัวออกจากการทำงานประจำ
ไม่เพียงผู้เกษียณอายุราชการต้องหาทางรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในด้านสถานภาพ และ
ความสัมพันธ์ทางสังคม สิ่งที่ข้าราชการได้มาขณะประกอบอาชีพอย่าง สถานภาพ ตำแหน่ง
บทบาท และหน้าที่ทางสังคม เมื่อเกษียณอายุการทำงานสิ่งเหล่านี้ย่อมลดลง หรือ หมดไป
ทำให้สถานภาพ บทบาท และ ความสัมพันธ์ทางสังคมเปลี่ยนแปลงไปในทำงานลดน้อยลง
ไม่เพียงเท่านั้นผู้เกษียณอายุราชการยังต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย
และจิตใจด้วย
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเป็นการเปลี่ยนแปลงในทำงานเสื่อมถอยของความสามารถในการทำงานของอวัยวะต่าง
ๆ ภายในร่างกาย การเปลี่ยนแปลงนี้จะเพิ่มมากขึ้นตามอายุของบุคคล
สาหรับการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจเป็นผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและสังคม
อย่างกำลังวังชาที่ถดถอย การเจ็บไข้ได้ป่วย การหยุดหรือปลดระวางจากงานประจำ
กิจกรรมทางสังคมที่ลดลง การเปลี่ยนแปลงในทางลบทั้ง ๓
ด้านที่เกิดกับผู้เกษียณอายุราชการล้วนเป็นเหตุผลที่อาจทำให้ความสัมพันธ์ทางสังคมของพวกเขาต้องลดลง
วิกฤตการณ์ และ ปัญหาต่าง ๆ ที่ผู้เกษียณอายุราชการต้องเผชิญ
อันเนื่องมาจากสภาพร่างกาย จิตใจ และ
การถอนบทบาทการทำงานประจำออกจากชีวิตประจำวันอย่างกะทันหัน
ทำให้จากชีวิตประจาวันที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ในที่ทำงาน ได้พบปะสังสรรค์
มีกิจกรรมที่ทำร่วมกับสมาชิกในสังคม กลับกลายมาเป็น ผู้ที่ไม่ต้องทำงาน
มีสังคมแต่ภายในบ้าน ขาดการพบปะกับเพื่อนร่วมงาน บทบาททางสังคมลดลง รวมถึง
อำนาจทางหน้าที่การงานที่เคยมีต้องลดหรือหมดหายไป
โดยเฉพาะข้าราชการวัยเกษียณอายุเป็นกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาทางด้านจิตใจมากกว่าผู้สูงอายุทั่วๆ
ไป เพราะบุคคลกลุ่มนี้มีอาชีพการงานที่มีตำแหน่ง มียศ มีผู้บังคับบัญชา
เป็นบุคคลที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีอำนาจได้รับการยกย่อง สรรเสริญ
มีคนห้อมล้อมเอาอกเอาใจ ซึ่งแตกต่างกับคนทั่วไป เมื่อถึงคราวเกษียณอายุราชการ
สิ่งเหล่านี้ ได้แก่ ลาภ ยศ สรรเสริญ
ได้หายไปหมดสิ้นอย่างไม่เหลือความสำคัญอะไรเลย การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเช่นนี้ทำให้บางคนหรือส่วนใหญ่มีเกิดความทุกข์
โทมนัส อุปายาส ส่งผลทำให้กลายเป็นโรคซึมเศร้าเหงาซึม
ตลอดทั้งกลายเป็นปัญหาแก่ครอบครัว คนรอบข้างและสังคม
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้อาจส่งผลให้ผู้เกษียณอายุราชการเกิดความรู้สึกว่า
ตนเองหมดคุณค่า ขาดคนเคารพยกย่อง การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้จะแตกต่างกันไปตามภูมิหลังของผู้เกษียณอายุราชการแต่ละคน ฉะนั้น
ผู้สูงอายุที่มีกิจกรรมสูงจะมีการปรับตัวได้ดีทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคม
และบุคคลที่สามารถดำรงกิจกรรมทางสังคมได้จะเป็นผู้ที่มีความพอใจในชีวิตสูง
และมีภาพลักษณ์เกี่ยวกับตัวเองดี
ซึ่งบุคคลเหล่านี้เป็นผู้สูงอายุที่ประสบความสำเร็จในชีวิต[5]
การได้ทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นงานด้านสาธารณกุศล งานสังคม
หรืองานปฏิบัติธรรมตามวัดต่างๆ
เป็นหนทางการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ทางสังคมทางหนึ่งที่ผู้เกษียณอายุจะมีความยึดเหนี่ยว
หรือ ความเป็นปึกแผ่นทางสังคม ระหว่างตัวผู้สูงอายุกับสังคมเข้าไว้ด้วยกัน
แรงยึดเหนี่ยวที่เกิดจากการทำกิจกรรมไม่เพียงทำให้ผู้สูงอายุยังรู้สึกว่าตนเองยังเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
ประโยชน์ที่แฝงมากับแรงยึดเหนี่ยวหรือความเป็นปึกแผ่นทางสังคมทางสังคมยังเป็นเกราะป้องกันการเสื่อมสภาพของร่างกาย
และ จิตใจของผู้สูงอายุด้วย[6]
สำหรับข้าราชการที่เกษียณอายุที่สนใจศึกษาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
โดยเฉพาะหลักเวสารัชชกรณธรรม
ย่อมจะได้ที่พึ่งอันประเสริฐมีความองอาจแกล้วกล้าในการต่อสู้กับโลกธรรม ๘
ได้อย่างสง่าผ่าเผย ทำให้เข้าใจโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้น
หากผู้เกษียณอายุราชได้นำหลักเวสารัชชกรณธรรมมาบูรณาการใช้เป็นรูปแบบในการดำเนินชีวิตหลังเกษียณแล้ว
ผู้เขียนคาดว่าน่าช่วยแก้ปัญหาทางด้านจิตใจ เช่นความหดหู่ ห่อเหี่ยว ท้อแท้
แม้กระทั่งรู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่าต่อบุคคลอื่น อันเป็นผลจากการที่ตนเองหมดอำนาจวาสนาในตำแหน่งหน้าที่ที่เคยมีบทบาทลง
ซึ่งหลักเวสารัชชกรณธรรม ๕ ประการ ได้แก่ คุณธรรมที่ทำให้เกิดความแกล้วกล้า
ไม่หดหู่ ท้อแท้ ๕ ประการ คือ มีศรัทธา หมายถึง
ข้าราชการเกษียณอายุจะต้องมีความศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างจริงจังและไม่เสื่อมคลาย
เชื่อในกฎแห่งกรรม เชื่อในผลของกรรม เชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นต้น
มีศีล หมายถึง ข้าราชการเกษียณอายุจะต้องรักษาศีล ๕ เป็นอย่างต่ำ
เพื่อเป็นเกราะที่พึ่งในการอยู่ในสังคมอย่างองอาจ มีพาหุสัจจะ หมายถึง
ข้าราชการเกษียณอายุจะต้องมีความเป็นพหูสูต ผู้คงแก่เรียน ตลอดทั้งแสวงหาหลักธรรมที่เหมาะสมกับวัยตนเองแล้วปฏิบัติให้เป็นแบบอย่างแก่คนรุ่นหลัง
มีวิริยารัมภะ หมายถึง ข้าราชการเกษียณอายุจะต้องปรารภความเพียร
อดทนต่อความเจ็บป่วยที่อาจเกิดขึ้นประจำ
ตลอดทั้งเพียรพยายามศึกษาธรรมและปฏิบัติให้มากที่สุด และ มีปัญญา หมายถึง สุดท้ายข้าราชการเกษียณอายุจะต้องมีปัญญาเป็นเครื่องชี้นำไม่เห็นผิดเป็นชอบ
ไม่เห็นคุณเป็นโทษ มีความเห็นถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เมื่อปฏิบัติธรรม ๕
ประการนี้ ได้อย่างบริบูรณ์แล้วย่อมก่อให้เกิดความกล้าหาญ
ดังที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่เหล่าภิกษุว่า “ธรรม ๕ ประการนี้ทำให้ภิกษุที่ยังต้องศึกษา (เสขบุคคล) เป็นผู้แกล้วกล้า
ความครั่นคร้ามย่อมมีแก่ผู้ที่ไม่ศรัทธา แต่ไม่มีแก่ผู้มีศรัทธา
ความครั่นคร้ามย่อมมีแก่ผู้ทุศีล แต่ไม่มีแก่ผู้ทรงศีล
ความครั่นคร้ามย่อมมีแก่ผู้ที่เกียจคร้าน แต่ไม่มีแก่ผู้มีความเพียร
ความครั่นคร้ามย่อมมีแก่ผู้ทรามปัญญา แต่ไม่มีแก่ผู้มีปัญญา กล่าวคือ
ผู้ที่ไม่มีศรัทธาเมื่อเข้าไปอยู่ในหมู่ผู้มีศรัทธาย่อมเกิดความไม่มั่นใจ
ย่อมหวั่นไหว เช่นเดียวกับ ผู้ที่ไม่มีความรู้
เมื่อเข้าไปอยู่ในหมู่บัณฑิตผู้รอบรู้ ย่อมเกิดความไม่มั่นใจ ย่อมหวั่นไหวเป็นต้น”[7] ดังนั้น
ผู้เขียนคิดว่าเมื่อผู้เกษียณอายุราชการได้นำหลักเวสารัชชกรณธรรมมาประยุกต์ใช้กับชีวิตแล้วย่อมทำให้การดำเนินชีวิตหลังเกษียณพบกับความสุขที่ยั่งยืน
ก่อให้เกิดความเกื้อกูลและเป็นประโยชน์ต่อตนเอง คนรอบข้าง
และสังคมในบั้นปลายชีวิตอย่างแท้จริง
[2]สุรกุล เจนอบรม,วิทยาการสำหรับผู้ใหญ่, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,๒๕๓๔),หน้า๕๒.
[3]ผลการประชุมสมัชชาโลกเกี่ยวกับผู้สูงอายุ พ.ศ. ๒๕๒๕ ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย
องค์การ สหประชาติได้นิยาม“ประชากรสูงอายุ” ว่าคือ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ ๖๐ ปีขึ้นไป ทั้งเพศชายและเพศหญิง ๒
[4]ทรงวิทย์ แก้วศรี และทัศนีย์ ดุสิตสุทธิรัตน์, “ระบบการออกจากราชการและบำเหน็ญบำนาญ”,อ้างใน 200ปี มหาจักรี บรมราชวงศ์และวิวัฒนาการของระบบข้าการพลเรือน, (กรุงเทพมหานคร :บริษัทรุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๒๖),หน้า ๒๖๒ – ๒๖๓.
[5]บุษยมาส สินธุประมา , สังคมวิทยาความสูงอายุ, (เชียงใหม่ : โรงพิมพ์สมพรการพิมพ์, ๒๕๓๙), หน้า ๒๓.
[6]พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิ์พงษ์,“ความสัมพันธ์ทางสังคมกับสุขภาพ
: โครงร่างการวิเคราะห์เชิงสังคมวิทยา”,อ้างในวารสารสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๓๓), หน้า ๘๒ – ๑๐๓.
[7]องฺ.ปญฺจก.๒๒/๑๐๑/๑๔๔.
บรรณานุกรม
ทรงวิทย์
แก้วศรี และทัศนีย์ ดุสิตสุทธิรัตน์. “ระบบการออกจากราชการและบำเหน็ญบำนาญ”. อ้าง
ใน200ปี มหาจักรี
บรมราชวงศ์และวิวัฒนาการของระบบข้าการพลเรือน.
กรุงเทพมหานคร:บริษัทรุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๒๖.
บุษยมาส สินธุประมา. สังคมวิทยาความสูงอายุ.
เชียงใหม่ : โรงพิมพ์สมพรการพิมพ์, ๒๕๓๙.
พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิ์พงษ์. “ความสัมพันธ์ทางสังคมกับสุขภาพ : โครงร่างการวิเคราะห์เชิงสังคมวิทยา”.
อ้างในวารสารสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา.กรุงเทพมหานคร
:โรงพิมพ์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๓๓.
มหามกุฏราชวิทยาลัย, มูลนิธิ. พระไตรปิฏกฉบับในพระบรมราชูปถัมภ์ กรุงเทพมหานคร:โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๖.
สมบูรณ์ ศาลยาชีวิน.จิตวิทยาเพื่อการศึกษาผู้ใหญ่.
เชียงใหม่ : ลานการพิมพ์, ๒๕๒๖.
สุรกุล เจนอบรม.วิทยาการสำหรับผู้ใหญ่.
กรุงเทพมหานคร :จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,๒๕๓๔.